บริษัท ดีแพลนทัวร์ จำกัด
083-751-6663 088-646-6637    096-926-1949    096-896-9386 dplantour@gmail.com   @dplantour

Day

August 20, 2023
เอะมะเป็นเครื่องรางอย่างหนึ่งของญี่ปุ่น แต่เหตุใดถึงได้แปลว่าภาพม้าหรือภาพของม้า ? คำตอบก็คือ ในสมัยก่อนนั้นคนญี่ปุ่นที่จะมาขอพรจากเทพเจ้าที่ศาลเจ้าต่างๆนั้นจะนิยมนำม้าที่มีสีขาวเพื่อเอามาถวายให้เทพเจ้าที่สถิตอยู่ เพราะความเชื่อของคนที่นี่เชื่อกันว่าม้านั้นเป็นสัตว์ที่มีความพิเศษตรงที่ใช้เป็นสื่อระหว่างคนกับเทพเจ้าได้นั่นเอง(คงคล้ายๆกับสุนัขจิ้งจอก) แต่ว่าในภายหลังนั้นประเพณีหรือความเชื่อเรื่องที่ว่าจะต้องนำม้าสีขาวมาถวายก็ค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นการถวายม้าที่ทำมาจากไม้หรือการวาดรูปม้าลงบนไม้แทน ท้ายที่สุดก็มาเป็นการเขียนคำอธิษฐานลงไปอย่างที่เราเห็นกันในทุกวันนี้นั่นเองครับ คำว่า “เอะมะ” นั้นก็เป็นการผสมกันระหว่างกคำว่า “เอะ”( 絵) ที่แปลว่า รูปภาพ และ “มะ” (馬) ซึ่งก็แปลว่า ม้า ดังนั้น เมื่อเอาทั้ง 2 คำมารวมกันจึงแปลว่า “ภาพม้า” นั่นเอง แต่ก็ไม่ใช่ว่าแต่จะมีแต่ม้าเท่านั้น เพราะในภายหลังก็มีการนำเอาภาพต่างๆ วาดลงบนแผ่นไม้ เช่น บทสวดมนต์ รูปนักษัตรราศีต่างๆ หรือแม้แต่รูปบุคคล หรือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องเป็นตำนวนหรือเรื่องเล่าของศาลเจ้านั้นๆ ซึ่งเอะมะ นั้นก็ไม่ใช่แต่ว่าจะเป็นของเพื่อใช้เขียนคำอธิษฐานเท่านั้น คนที่ชอบสะสมของเก่าๆแล้ว เอะมะ ก็เป็นของที่มีมูลค่ามากเช่นกัน เพราะบางภาพก็ถูกวาดขึ้นโดยศิลปินที่มีชื่อเสียง บางภาพก็เป็นเรื่องเล่าเก่าแก่และก็ยังมีหลายขนาดอีกด้วย นักท่องเที่ยวที่มาใช้เอะมะเพื่อขอพรนั้นก็มีจุดประสงค์หลากหลายต่างกันไป เช่น บางคนก็ขอให้การงาน การเรียนประสบความสำเร็จ บางคนขอเรื่องความรักหรือบางคนก็ขอให้ตนเองและครอบครัวมีสุขภาพแข็งแรง ซึ่งก็หาซื้อได้ตามศาลเจ้า ราคาส่วนใหญ่ก็จะอยู่ที่ประมาณ 500 เยน ครับ ใครมาเที่ยวญี่ปุ่นก็ไม่ควรจะพลาดกับการใช้เอะมะกันนะ
Read More
โทริอิ Torii คืออะไร? เสาแดงหน้าศาลเจ้าญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ โทริอิ (Torii) ซุ้มประตูขนาดใหญ่ยักษ์ที่เรียกได้ว่าแทบจะเป็นเหมือนสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของญี่ปุ่นไปแล้ว เพราะเชื่อได้เลยว่าไม่มีที่อื่นแน่นอน และยังเป็นที่รู้กันด้วยว่าถ้าเห็นเสานี้เมื่อไหร่ แสดงว่าใกล้ๆ กันนี้จะต้องมีศาลเจ้าตั้งอยู่ แต่นอกจากจะเป็นการบอกตำแหน่งแล้ว เสาโทริอิยังมีความหมายมากกว่านั้นด้วยนะ จะมีอะไรบ้างตามไปดูกัน โทริอิ (ญี่ปุ่น: 鳥居; โรมาจิ: Torii, ความหมาย: ที่อยู่ของปักษา ซึ่งชาวญี่ปุ่นมีความเชื่อว่า นกถือเป็นสัตว์ที่มีความเกี่ยวข้องกับโลกหลังความตาย) มีที่มาจากความเชื่อแบบชินโตที่ชาวญี่ปุ่นนับถือกันมาช้านานจวบจนถึงปัจจุบัน ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถสืบย้อนไปได้ว่าชาวญี่ปุ่นเริ่มตั้งเสาโทริอิกันตั้งแต่เมื่อไหร่ มีเพียงบันทึกที่เก่าแก่ที่สุดที่เขียนถึงโทริอิ ถูกเขียนไว้เมื่อ ค.ศ. 922 กล่าวถึง โทริอิหินที่เก่าแก่ที่สุดในปัจจุบัน สร้างในศตวรรษที่ 12 เป็นโทริอิของศาลเจ้าฮะชิมังในจังหวัดยะมะงะตะ นั่นเอง
Read More
จิราชิซูชิเป็นเมนูที่คนญี่ปุ่นนิยมทำกินกันในบ้านในวันพิเศษ เช่น เรียบจบ ได้งานทำ วันเกิด ปีใหม่ คริสต์มาส อะไรประมาณนี้ แต่สำหรับต๊ะ ซาดาโอะ และโคชิ แล้วกินได้ทั้งปีไม่เคยรอญาติมาเยี่ยม ไม่ง้อเทศกาล โอกาสพิเศษ ข้าวที่ใช้ทำจิราชิซูชิจะเป็นข้าวญี่ปุ่นหุงสุก แต่จะหุงให้แห้งกว่าปกติเหมือนกับข้าวที่ใช้ทำข้าวผัด เวลาหุงข้าวให้ใส่นํ้าน้อยกว่าหุงข้าวปกติ ส่วนท็อปปิ่งที่ฮิตๆ ก็จะมีไข่หวาน สาหร่ายเส้นเล็ก ๆ (Kizami Nori) ปลาดิบ อาหารทะเลสด และก็ไข่ปลาแซลมอนเพราะอร่อย และสีสันสดใส แวววาว
Read More
เทศกาลธงปลาคาร์ฟ (Koi-no-bori Festival)” หรือ เทศกาลเพื่อเฉลิมฉลอง “วันเด็ก (Children’s Day)” วันที่ 5 พฤษภาคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันที่ชาวญี่ปุ่นจะขอพรให้บุตรของตนเจริญเติบโตแข็งแรง โดยในวันเด็กจะมีธรรมเนียมการประดับตกแต่งบ้านเรือน และรับประทานขนมคะชิวะโมจิ (Kashiwa-mochi) นอกจากนี้ในช่วงเวลาดังกล่าวยังมีการจัดงาน “เทศกาลธงปลาคาร์ฟ (Koi-no- bori Festival)” ทั่วทุกแห่งในญี่ปุ่นให้เราได้เพลิดเพลินกับสีสันอันสวยงามหลากหลายของธงปลาคาร์ฟกันอีกด้วย เป็นเทศกาลที่ไม่ควรพลาดชมเป็นอย่างยิ่ง โคยโนโบริ หรือ ธงรูปปลาคาร์ฟ ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ในวันเทศกาลเด็กผู้ชายในอดีต หรือวันเด็กในปัจจุบัน ซึ่งหากบ้านไหนมีลูกชายก็มีการประดับธงรูปปลาคาร์ฟไว้หน้าบ้าน โดยทั่วไปธงจะประกอบด้วยปลาพ่อ (สีดำ) ปลาแม่ (สีแดงหรือชมพูเข้ม) และปลาลูก (สีฟ้า) บางบ้านก็ประดับเพิ่มปลาสีส้ม เขียว และม่วง ที่มีขนาดลดหลั่นกันมาตามจำนวนและอายุของลูกๆ เหตุที่ประดับธงรูปปลาคาร์ฟเนื่องมาจากความเชื่อตามเรื่องเล่าของจีนว่าปลาคาร์ฟนั้นสามารถว่ายทวนกระแสน้ำในแม่น้ำฮวงโหได้จนกลายเป็นมังกร ชาวญี่ปุ่นซึ่งได้รับอิทธิพลความเชื่อจากจีนจึงอยากให้ลูกชายมีจิตใจที่เข้มแข็ง ต่อสู้กับความยากลำบากในชีวิตอย่างไม่ย่อท้อเหมือนดั่งปลาคาร์ฟ
Read More
สวนชุคเคเอ็น Shukkeien Garden สวนประวัติศาสตร์ชุคเคเอ็น (縮景園) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1620 แม้จะตั้งอยู่ใจกลางเมืองฮิโรชิม่า ทว่าแมกไม้เขียวชอุ่มภายในสวนสวยแห่งนี้กลับให้ความรู้สึกสงบเงียบ ราวกับมีมนต์สะกดให้ผู้ที่แวะมาเที่ยวชมทั้งจากในและนอกประเทศ หลงลืมความเร่งรีบจอแจของตัวเมืองไปชั่วคราว เมื่อย่างก้าวเข้ามาในตัวสวน เป็นต้องเพลิดเพลินไปกับความงามของธรรมชาติที่โดดเด่นแตกต่างกันไปในสี่ฤดู ทั้งยังสามารถชมที่ชงชาแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมอย่างเซฟุคัง (清風館, Seifu-kan) และเมเก็ตสึเท (名月亭, Meigetsu-tei) ได้อีกด้วย นอกจากนี้ ภายในตัวสวนยังมีร้านน้ำชาที่เสิร์ฟอาหารทานเล่นอย่างอุด้งหรือชาเขียว ให้ผู้เที่ยวชมสวนได้แวะมาหยุดพักผ่อนกันได้อย่างสบายๆ อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญที่อยู่ติดกันกับสวนชุคเคเอ็นเลยคือพิพิธภัณฑ์ศิลปะจังหวัดฮิโรชิม่า (広島県立美術館, Hiroshima Prefectural Art Museum) ที่ได้รวบรวมผลงานศิลปะที่เกี่ยวข้องกับฮิโรชิม่าในแง่ต่างๆ อย่าง “เครื่องกระเบื้องลายดอกไม้สไตล์คาคิเอมง (伊万里色絵花卉文輪花鉢)” และ “บานพับแห่งอิทสึคุชิมะ (厳島図屏風)” ที่ล้วนแล้วแต่เป็นสินทรัพย์ทางวัฒนธรรมชิ้นสำคัญมาจัดแสดงไว้มากมาย ทั้งนี้ยังรวมไปถึงผลงานของศิลปินชื่อดัง Salvador Dali อีกด้วย
Read More
วัดไดโชอิน Daishoin Temple เกาะมิยาจิม่า (宮島) นั้นเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะ 1 ใน 3 จุดท่องเที่ยวที่มีทิวทัศน์สวยงามที่สุดในประเทศญี่ปุ่น นักท่องเที่ยวมากมายข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อได้มาเยือนศาลเจ้าอิทสึคุชิม่า (厳島神社) ทว่าพอได้ยลโฉมซุ้มประตูโทริอิสีแดงที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางน้ำเรียบร้อยแล้วก็พากันกลับ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง เพราะภายในตัวเกาะยังมีอีกหนึ่งวัดที่มีความสำคัญอย่างยิ่งซ่อนตัวอยู่ ได้แก่ วัดไดโชอิน (大聖院) ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติ เพราะเป็นที่ประดิษฐานของสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นถ้ำเฮนโจคุตสึ (遍照窟, Henjo-kutsu) ที่อยู่ใต้ห้องโถงไดชิโด (大師堂, Daishido Hall) ถ้ำนี้ประดับประดาด้วยโคมไฟมากมายนับไม่ถ้วนที่ว่ากันว่าจะให้โชคลาภแก่ผู้ที่เดินทางมาสักการะบูชา หรือจะเป็น อิจิกังไดชิ (一願大師, Ichigan Daishi) รูปปั้นจิโซญี่ปุ่น (พระพุทธรูปรูปแบบหนึ่ง) ที่จะบันดาลให้คำขอร้องเพียงข้อเดียวของเราสัมฤทธิ์ผล นอกจากนี้ยังมี นาเดะโบโทเคะ (撫で仏, Nadebotoke) องค์พระพุทธรูปที่หากเราสัมผัสท่านในตำแหน่งเดียวกันกับที่เรามีอาการเจ็บป่วยทางกายอยู่ เชื่อว่าจะช่วยปัดเป่าอาการป่วยนั้นให้หายไป กุจิคิคิจิโซ (愚痴聞き地蔵, Kuchikiki Jizo) รูปปั้นจิโซที่ช่วยฟังคำบ่นของเรา มิสุคาเคะจิโซ (水掛地蔵, Mizukake Jizo) รูปปั้นจิโซที่มีวิธีการสักการะด้วยการใช้กระบวยตักน้ำขึ้นมาราด เมดาชิดารุมะ (目だしダルマ, Medashi Daruma) ตุ๊กตาดารุมะตาถลนที่แค่สัมผัสโชคลาภก็จะมาเยือน ไปจนถึงเครื่องรางที่เกี่ยวกับการทำอาหารอย่าง ไดสุริโคกิ (大摺粉木, Daisuri-kogi) ไม้บดงาขนาดยักษ์ที่เชื่อว่าหากหมุนครบ 3 รอบ จะช่วยลบล้างบาปและความทุกข์ในจิตใจได้ และมีดทำครัวที่ให้ผู้สักการะบูชาได้ใช้แสดงความขอบคุณแก่มีดที่เคยได้ใช้มาในอดีตอีกด้วย นอกจากเครื่องรางสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้โชคมากมาย...
Read More
คาวากุจิโกะ Kawaguchiko คาวากุจิโกะ (河口湖) คือทะเลสาบที่ตั้งอยู่บริเวณทางเหนือของภูเขาไฟฟูจิ อันเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นในสายตาของนานาประเทศทั่วโลก การันตีความนิยมจากนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสายในทุกฤดูกาลตลอดทั้งปี โดยคาวากุจิโกะนั้นเป็นหนึ่งในห้าทะเลสาบที่อยู่บริเวณฐานของภูเขาไฟฟูจิ เพราะอยู่ในตำแหน่งความสูงที่ต่ำสุดในบรรดาทะเลสาบทั้งห้า จึงทำให้ภาพสะท้อนของภูเขาไฟฟูจิที่ปรากฎบนผิวน้ำนั้นสวยงามลงตัวยิ่งกว่าทะเลสาบไหนๆ และเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า “ภูเขาไฟฟูจิกลับหัว” ที่ตั้งของคาวากุจิโกะนั้นห่างจากโตเกียวเพียง 2 ชั่วโมง อีกทั้งยังมีออนเซ็นวิวสวยและโรงแรมบริการชั้นเลิศมากมาย จึงทำให้ทะเลสาบแห่งนี้เป็นจุดหมายท่องเที่ยวยอดนิยม ทั้งสำหรับผู้ที่มาเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับ และผู้ที่ประสงค์จะมาพักผ่อนหย่อนใจเป็นเวลานานอีกด้วย ในปี 2013 คาวากุจิโกะได้รับการจดทะเบียนให้เป็นแหล่งมรดกโลกร่วมกับภูเขาไฟฟูจิ เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมถึงขนาดที่ว่า ในปี 2017 มีการบันทึกว่าได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวไปแล้วกว่า 4.5 ล้านคนเลยทีเดียว นอกจากออนเซ็นน้ำพุร้อนบรรยากาศดีแล้ว บริเวณโดยรอบก็ยังมีจุดท่องเที่ยวอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสวนโออิชิ (大石公園, Oishi Park) ที่สามารถเพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์งดงามจนแทบลืมหายใจของทะเลสาบและภูเขาไฟฟูจิ พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี Kawaguchiko Music Forest Museum (河口湖オルゴールの森美術館) ที่มีกล่องเพลงนานาชนิดมาจัดแสดง ไปจนถึงสวนสนุกสุดหวาดเสียวอย่าง Fuji Q Highland (富士急ハイランド) อีกด้วย ชื่อ : คาวากุจิโกะ ที่อยู่ : Fujikawaguchiko-machi, Minamitsuru-gun, Yamanashi การเดินทาง เดินทางโดยรถไฟ: นั่งรถไฟด่วนพิเศษ JR Limited...
Read More
ชิราคาวาโกะ Shirakawago ชิราคาวะโกะ (白川郷) ตั้งอยู่ในชิราคาวะมูระของจังหวัดกิฟุ มีชื่ออย่างทางการว่า “หมู่บ้านประวัติศาสตร์ชิราคาวาโกะและโกคายามะ (白川郷・五箇山の合掌造り集落)” เป็นหมู่บ้านที่ได้รับการจดทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกในปี 1995 ทั้งยังได้รับการคัดเลือกให้เป็นตัวแทนแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของประเทศญี่ปุ่น การันตีโดยรางวัลมิชลินสตาร์ 3 ดาวอีกด้วย ความโดดเด่นไม่เหมือนใครของหมู่บ้านชิราคาวาโกะ คือ กัซโซซึคุริ (合掌造り) สถาปัตยกรรมการสร้างบ้านสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิม อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวสืบทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยหลังคาบ้านแบบกัซโซซึคุรินั้น จะมีรูปทรงเหมือนการนำสองมือมาประสานกันเพื่อภาวนา ตรงตามความหมายของคำว่า “กัซโซ (合掌)” นั่นเอง ปริมาณหิมะในช่วงฤดูหนาวของหมู่บ้านชิราคาวาโกะนั้น เป็นที่เลื่องลือกันว่าหนักหนาเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ การสร้างบ้านให้มีหลังคาลาดชันแบบนี้เองแสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาของคนญี่ปุ่นในการรับมือและปกป้องตัวบ้านจากความโหดร้ายของธรรมชาติได้เป็นอย่างดี หากขึ้นไปยังหอชมวิวเทนชูคาคุ (天守閣展望台, Tenshukaku Observatory) จะสามารถชมทิวทัศน์ของหมู่บ้านทรงกัซโซซึคุริที่เรียงรายลดหลั่นกันครอบคลุมพื้นที่นาข้าวสุดลูกหูลูกตา ดื่มด่ำไปกับทัศนียภาพอันงดงาม และบรรยากาศความสงบเงียบที่แฝงมาด้วยกลิ่นอายของญี่ปุ่นดั้งเดิมอย่างเต็มที่ หมู่บ้านแห่งนี้ยังมีอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญ คือ บ้านวาดะ (和田家住宅, Wada House) บ้านเก่าแก่อายุกว่า 300 ปีที่ได้รับการดูแลให้อยู่ในสภาพเดิม และถูกยกย่องให้เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันสำคัญของญี่ปุ่น ภายในตัวบ้านมีการเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้ได้ศึกษาเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน และงานหัตถกรรมหม่อนไหม ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่คอยค้ำจุนหมู่บ้านแห่งนี้เรื่อยมา หมู่บ้านชิราคาวาโกะได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ และเส้นทางการเดินทางที่สะดวกสบายยิ่งขึ้น ช่วยดึงดูดให้นักท่องเที่ยวทั้งจากในและต่างประเทศเข้ามาสัมผัสกับเสน่ห์เฉพาะตัวของหมู่บ้านประวัติศาสตร์แห่งนี้ได้อย่างง่ายดายขึ้นมาก เรียกได้ว่าเป็นหมู่บ้านที่เปี่ยมไปด้วยเอกลักษณ์แห่ง “บ้านเกิดแบบญี่ปุ่น” ที่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวมาสัมผัสกับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตดั้งเดิมของญี่ปุ่นได้อย่างแท้จริง
Read More